วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

สารคดี

สารคดี
เรื่อง ประวัติความเป็นมาของรองเท้า Vans
                ก่อนที่จะพูดถึงความเป็นมาของรองเท้าVansแล้วละก็ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900-1965 บริษัทผลิตรองเท้าเจ้าใหญ่ๆในอเมริกามีเพียงสองเจ้าเท่านั้นคือ CONVERSE RUBBER และ US.Keds(Keds,Pro Keds)เป็นบริษัทที่ได้รับการกล่าวถึงว่าผลิตรองเท้าที่สามารถบ่งบอกถึงความเป็นอเมริกันชนได้ ดีที่สุดเพราะมีความทนทาน มีการออกแบบดีและราคาถูกจึงทำให้ได้รับความนิยมอย่าง มากถึงขนาดที่ว่าเดินไปไหนก็จะต้องเห็นคนใส่รองเท้าสองยี่ห้อนี้ในชีวิตประจำวันจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนอเมริกาไปเลย
จนกระทั่งปี 1966รองเท้ายี่ห้อหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายมาเป็นรองเท้าระดับตำนานจนถึงวันนี้รองเท้าสุดแนวยี่ห้อนั้นชื่อVansได้ถือกำเนิดขึ้นจากชายผู้มีความรักและชื่นชอบรองเท้าเขาต้องการผลิตรองเท้าที่มีรูปแบบเป็นของตัวเอง มีความทนทานต่อทุกสภาพการใช้งานและราคาไม่แพงและชายผู้นั้นชื่อ"Paul Van Doren"ก่อนที่เขาจะมาผลิตรองเท้าที่เป็นยี่ห้อของตัวเอง Paulทำงานอยู่ในโรงงานผลิตรองเท้าชื่อ"Randolph Rubber"ทีซึ่งเขาได้ทำงานผลิตรองเท้ากว่า 20ปี ประสบการณ์ที่นี่เป็นประโยชน์กับเขาอย่างมากในเวลา
ต่อมาเมื่อ Paulมีความตั้งใจที่จะผลิตรองเท้าในแบบของตนเอง และในปีนี้เองบริษัท " Van Doren The Rubber"บริษัทที่มีความชำนาญในด้านการผลิตรองเท้า จึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากการรวบรวมผู้ที่มีความสามารถ มากประสบการณ์ ในด้านต่างๆที่มีความต้องการเดียวกันคือ"ผลิตรองเท้าที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง"ประกอบด้วย
Paul Van Doren ผู้ชำนาญการด้านการตัดเย็บและผลิตรองเท้า
Jim Van Doren (พี่ชาย Paul)ผู้ชำนาญการด้านเครื่องจักรในการผลิต
Serge D'Ella และ Gordy Lee ผู้ชำนาญการด้านการออกแบบ
ทั้งหมดคือกำลังหลักในการทำให้รองเท้า VANS มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนโลกจนถึงวันนี้
                16 มึนาคม 1966 VANS STORE แห่งแรกได้เปิดขึ้นที่704E Broadway Anaheim,California
6เดือนแรกของ Vansเปิด ทั้งหมด 10 storeแต่ยอดขายบอกว่า Vansขาดทุนไป 6ใน10แห่งของ storeที่เปิดมา และใน 25สัปดาห์แรกของการเปิดบริษัทstoreมีจำนวนทั้งหมด 20แห่ง ทำไมถึงเปิดเยอะ?
นั่นเป็นเพราะ Paulต้องการเพิ่มรายรับจากการขายรองเท้าให้มากขึ้น
และเมื่อต้องการประหยัดเพราะเพิ่งเปิดกิจการ ในสาขานี้"ผู้จัดการสาขาคนแรกคือ เมียของ Paulนั่นเองส่วนพนักงานPart timeคนแรกคือ Kathy Van Doren"ลูกสาวของเขา
ตอนนั้น "Steve Van Doren"ลูกชายของเค้าซึ่งกลายมาเป็นผู้ที่ดูแลกิจการในเวลาต่อมา
มีอายุแค่ 10ขวบ แต่ในทุกๆวันหยุด"Steve Van Doren"จะต้องมาช่วยทำงานที่storeไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง

ในขณะที่"Paul Van Doren"จะออกไปสำรวจหาทำเลทองเพื่อที่จะเปิด Storeแห่งใหม่ๆ




จุดเริ่มต้นของตำนานเกิดขึ้นที่ โรงงาน Vans แห่งแรกใน California   
 Steve Vans Doren ผู้รับช่วงต่อกิจการและทำให้ Vans ดังกระฉ่อนโลก

                ก้าวเข้าช่วงต้นทศวรรษที่ 70 sketeboard กีฬาสุดฮิตและมันส์ถูกใจวัยรุ่นได้รับความนิยมอย่างมากในทุกแห่งหนของอเมริกา แต่เป็นการเล่นเพียงแค่ไสไปไสมาแค่นั้น จนกระทั่งมีแก๊งค์ยอดมนุษย์ที่บูชาความตื่นเต้นเป็นชีวิตจิตใจ การไสไปไสมาไม่ได้ทำให้ชีวิตพวกเขามีสีสันมากขึ้น ท่วงท่าลีลาในการเล่นแปลกๆ สถานที่ท้าทายความสามารถถูกคิดค้นและแสวงหามาสนองความต้องการอย่างไม่หยุดหย่อน
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพัฒนาให้เป็นไปในแบบที่ควรจะเป็น sketeboard ทนทานมีสีสันสวยงามฉุดฉาดมากขึ้น เสื้อผ้า-หน้า-ผม ของเด็กบอร์ดมีแนวเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นต้นฉบับของคำว่า STREET WEAR FASHION หมวกกันน็อก สนับเข่า สนับแขนออกแบบมาเพื่อป้องกันการเจ็บตัวจากความห่ามที่มีเพิ่มขึ้น
ทุกอย่างดีหมดเข้าท่าเข้าทางหมด จะขาดก็แต่รองเท้า เจ๋งๆ ในตอนนั้นรองเท้าที่ใส่เล่น skete ก็หามาใส่กันตามมีตามเกิด ไม่ได้มียี่ห้อไหนที่ได้รับสิทธิ์อันชอบธรรมได้รับคะแนนเสียงล้นหลามจากเด็ก skete
Paul vans doren เห็นช่องทางทำมาหากินของขึ้นมาลางๆ เค้าคิดว่าถ้าอยากอยู่บนเส้นทางของตลาดรองเท้าเขาจะต้องเป็นผู้นำในตลาดรองเท้า skateเพราะตอนนั้น CONVERSE RUBBERตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินด้านรองเท้าbassket ball ส่วน US KEDS ก็หันไปจับตลาดรองเท้าแนวบ้านๆที่ใส่สบายถ้าจะไปขอแบ่งพื้นที่ตรงนั้น paul เห็นว่าคงเป็นการยาก รองเท้า skate เนี่ยแหละไร้คู่แข่ง...เหมือนพระเจ้าชอบรองเท้า vans จึงบันดาลให้ TONY ALVA,STACY PERATTA นัก skate ชื่อดังแห่งยุคและลูกสมุนที่ตามล่าหารองเท้าที่เจ๋งๆสำหรับเล่นบอร์ดได้มาเจอ Vans วางขายอยู่ใน Spotting Vans Store,California ทางใต้ ลองหยิบ
ไปใส่เพื่อลองของแปลก ด้วยความหนึบของพื้นรองเท้าที่ไม่มีรองเท้ายี่ห้อไหนทำมาก่อนพวกเขาสงสัย...นั่นเป็นเพราะตอนนั้น vans เป็นรองเท้าที่ทำขายเฉพาะใน California ทางใต้เท่านั้น จึงทำให้มันไม่ค่อยดัง vans ทำให้พวกเขาใช้พรสวรรค์และความห่ามได้อย่างเต็มที่

Tony  Alva และ Stacy Peratta
คำสบถของสาวกของ TONY ALVA,STACY PERATTA ที่พูดตอนนั้นและได้รับการบอกเล่าในเวลาต่อมา
นับตั้งแต่นั้นเมื่อหัวหน้าแก๊งค์ยอดมนุษย์ใส่ vans ความนิยมอย่างบ้าคลั่งจึงตามมา ถึงขนาดทำขายกันไม่ทันเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าสินค้าบางอย่างมาแจกฟรียังหมดช้ากว่า vans ซะอีก
                vans ในยุคแรกๆไม่มีอะไรที่บอกได้ถึงสัญลักษณ์ความเป็นตัวตนของ vans ซักอย่างในขณะที่NIKE (ภาษากรีกแปลว่าชัยชนะ)ได้คิดค้นเครื่องหมายทางการค้าในช่วงต้นทศวรรษที่ 70โดยมีสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายถูก (swoosh) ส่วน ADIDAS ก็เหมือนกันออกแบบเครื่องหมายการค้าครั้งแรกในปี 1949 มีชื่อว่า "3 strip"รูปใบไม้ 3แฉก vans ก็อยากมีกะเค้ามั่ง Poul vans doren จึงได้ลองออกแบบอย่างคร่าวๆคิดไปคิดมาขีดๆเขียนๆ จนได้แบบที่ลงตัว เขาจึงนำเอารูปแบบเครื่องหมายการค้าไปจดสิทธิบัตรเพื่อปกป้องสิทธิของเขาเองในภายภาคหน้า และ Paul vans doren ได้นำต้นแบบของเขาปรึกษาเพื่อนผู้มีความชำนาญในการตัดเย็บเครื่องหนังที่ BOSTON ถึงความเป็นไปได้มั๊ยถ้าจะเอามันมาเป็นส่วนหนึ่งในด้านข้างของรองเท้า ทั้งสองคนลงความเห็นว่า ดี พวกเค้าตั้งชื่อแถบคลื่นด้านข้างเท้าว่า Jass Stripe(เส้นสายสนุกสนานเหมือนดนตรีแจ๊ส) Jass Stripe ได้รับเกียรติให้แปะลงไปในรองเท้า vans รุ่น Old Skool,style 36

(Old Skool sk8 และ Old Skool)
 และออกวางขายครั้งแรกในปี 1977 และเป็นรองเท้า skate รุ่นแรกที่มีหนังติดอยู่ที่รองเท้า Icon สุดเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความแยบคายในการออกแบบได้ เป็นที่รู้จักตั้งแต่วันนั้น
                ยังอยู่ที่ช่วงต้นของทศวรรษที่ 70 การเปลี่ยนแปลงของ vansมีมากมายในช่วงนี้ ทั้ง storeใหม่ๆที่ได้เปิดขึ้นมาเพื่อรองรับจำนวนการผลิตที่มากขึ้น เมื่อได้รับคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์จากเด็ก skate
ว่าเป็นรองเท้าที่เหมาะที่สุดที่จะใส่ใส skate รวมไปถึงการออกแบบลวดลายและรูปแบบของรองเท้าใหม่ๆก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ด้วย vans จึงมีแนวคิดแปลกๆแหวกแนวกว่าชาวบ้านเค้า คือ vans เปิดโอกาสให้เด็กๆซึ่งเป็นลูกของพนักงานในโรงงานหรือเด็กๆแถวๆโรงงานไม่เว้นแม้แต่พนักงาน มาทำการออกแบบรองเท้าคนละคู่ โดยที่ใครอยากจะใส่สีอะไรหรือวาดอะไรลงไปก็ได้ในแบบที่ตัวเองชอบ แล้วจะนำมาเลือกกันอีกทีว่าลายไหนแบบไหนเจ๋งสุด เข้าตากรรมการและสามารถผลิตออกขายได้จริง การแข่งขันแบบนี้ทำกันทุกสิ้นเดือนในทุก store ก้าวเข้าสู่ปี 1976 vansได้ออกแบบรองเท้าขึ้นมาใหม่อีกรุ่นนึงเรียกว่าทำขึ้นมาเพื่อเด็ก skateเลยก็ว่าได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มี vans old skool ออกมาให้ถลุงกันแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่สะใจขา skate อาจเป็นเพราะความเทอะทะของเจ้า old skool ก็เป็นได้...ตามที่โบราณว่าไว้ "ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" ถ้าอยากรู้ว่ารองเท้าสำหรับเด็ก skate ว่าควรจะเป็นยังไง ก็ต้องให้เด็ก skate มาบอกจริงมั๊ยเพราะรู้ทางกันอยู่ poul vans doren เลยขอแรง TONY ALVA,STACY PERALTA ให้ช่วยร่วมออกแบบรองเท้ารุ่นใหม่ด้วยกัน และในตอนนี้ steve van doren ก็ได้เข้ามาช่วยดูแลกิจการอีกแรงนึงเค้าได้ทำในส่วนของบัญชีและดูแล store ในที่ต่างๆ
เมื่อนัก skateสุดเจ๋งจับมือกับนักออกแบบสุดแจ๋วรองเท้าแนวๆอีกรุ่นนึงจึงได้ออกมาเขย่าวงการอีกครั้ง ...ชื่อของมันคือ"vans # 95"หรือที่เรารู้จักกันในนาม"vans ERA"ในทุกวันนี้โดยที่ผลิตออกมาทั้งหมด เฉพาะ ERA รุ่นเดียวถึง44แบบ

Vans ERA
และสำหรับ ERA นี่เอง vans ได้ใช้วัสดุใหม่ๆเข้ามาใช้ในการผลิตรองเท้า ให้มันแปลกเข้าไปอีกเช่น หนังกลับ(wool),การสกรีนลายลงบนผ้าใบก่อนเอาไปตัดรองเท้า(silk screen)และรวมไปถึงป้ายส้น(teen)อันลือลั่นที่มาของคำยอดฮิตที่ติดอยู่ตรงส้นเท้าและเปรียบได้กับสุภาษิตประจำยี่ห้อนั่นคือคำว่า vans off the wallvans off the wall ถือกำเนิดเกิดขึ้นในตอนที่ TONY ALVA และเหล่าสาวกเล่น skate อยู่ในlamp(คล้ายๆกับกระทะ)ใน Santa Monika ในตอนนั้นทุกคนยืนพักเหนื่อยลิ้นห้อยหลังพิงกำแพงอยู่บนlamp ทันใดนั้นก็เกิดมีตัวจี๊ดกระโดดลงไปเล่น อย่างเมามันส์เพียงลำพัง โดยพุ่งออกจากกำแพงที่พวกเขายืนพิงอยู่ เขาเล่นท่าแปลกๆโดยที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนอย่างดุดันเขาผู้นั้นคือ TONY ALVA จากการกระโจนลงไปเล่นในlamp
SKIP ENGBLOM หนึ่งในผู้ร่วมชะตากรรมอันเป็นตำนานในวันนั้น ตะโกนแหกปากเรียก TONYแล้วพูดว่า "Hey man,you just went off the wall" (เฮ้..นี่นายแพิ่งออกมาจากกำแพงนี่) ถือได้ว่า"SKIP ENGBLOM"เป็นคนที่ทำให้คำนี้ดังกระฉ่อนโลก คำว่า "off the wall" ลอยไปเข้าหู steve vans doren ผู้ซึ่งเข้ามารับช่วงต่อกิจการอย่างเต็มตัว เค้าจึงนำประโยคบังเอิญนี้มาช่วยตอกย้ำความเจ๋งของรองเท้าอีกแรงนึง โดยที่เค้าเอามันไปติดตรงส้นของรองเท้า เค้าต้องการให้ vans เป็นรองเท้า skate เพียงยี่ห้อเดียวที่มีคำว่า "off the wall"อยู่ที่รองเท้า ที่จริงแล้วเนี่ยคำว่า off the wall มันมีติดอยู่ที่แผ่นกระดาน skate ก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่มีใครสนใจเด็ก skate เรียกแผ่นกระดานนี้ว่า"Turtle" ต่อมาภายหลังคำนี้ได้ถูกเอาไปใช้ในช่องกีฬา action sport และนี่คือที่มาของคำว่า"vans off the wall"ประโยคดังจากความบังเอิญ
                ในปี1978 ปีทองของรองเท้ารุ่นที่โด่งดังที่สุดของ VANS เลยก็ว่าได้ รุ่นที่ว่าก็คือ
VANS #36 OLD SKOOL แต่ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นยุค 70's OLD SKOOL ได้ถูกผลิตออกมาก่อนหน้านี้แล้วเพื่อเป็นการทดสอบสมรรถณะ หรือพูดอีกอย่างก็คือ"ทำออกมาลองผิดลองถูกนั่นเอง" จุดเด่นจุดด้อยค่อยๆทะยอยมีออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือผลดีก่อนที่จะมีรองเท้า"โคตรดี"ให้เราได้ใส่กันจนกระทั่งวันนี้
แต่แล้วก็ได้เวลาที่รองเท้า skate ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในยุดนั้นได้ทำการผลิตขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้สโลแกนศักดิ์สิทธิ์ "OFF THE WALL"ป้ายแดงแจ๋ แต่ในตอนนั้นเด็ก skate ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อ "Vans side stripe" ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ skate ว่าเรามาใช้เรียกมันว่า" OLD SKOOL " ตั้งแต่เมื่อไหร่
จากการขัดเกลาในทุกข้อด้อย OLD SKOOL จึงมีข้อแตกต่างจากรุ่น Era ทั้งรูปแบบและความอึด ที่มีมากกว่าแถมยังมีแบบหุ้มข้อซะด้วย โดยที่ออกแบบให้มีการบุนวม ตรงที่หุ้มข้อเท้าเพื่อเป็นการเสริมความแข็งแรงและเพื่อป้องกันการเกิดอุบัตเหตุจากความห่ามในการเล่นของ skate man ในยุคนั้นและได้มีการนำเอา side strip หรือ"หนอน"ที่เราเรียกกันติดปากใส่ลงไปในรองเท้า OLD SKOOL อย่างถาวร OLD SKOOLในยุคแรกรูปแบบของรองเท้าคล้ายกับตอนนี้ แต่แตกต่างกันบ้างในรายละเอียด
1979 Vans #98 หรือที่เรารู้จักกันในนาม "VANS SLIP-ON" ชนกลุ่มน้อยกลุ่มแรกที่ใส่คือนัก skate และเด็กขี่ BMX ความต้องการอย่างล้นหลามจึงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียนั่นเอง และในช่วงปลายปี 70'sอีกนั่นแหละ VANSทำการเปิด storeทั้งหมด 70 สาขาด้วยกัน
ความดังไกลไปในหลายที่ทั่วโลกเพราะความดังนี่เองทำให้นัก skate ทั้งหลายจากทุกมุมโลกบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปซื้อหากัน VANS ก็กลัวว่าเด็ก skateจะเปลืองค่าเครื่องบินจึงได้ทำการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ
เพื่อขยายอาณาจักรความแนวออกไปอีกในหลายประเทศ 1982 VANS SLIP-ON มีคนอยากได้เพิ่มขึ้นอีกมากเพราะว่าจากวันที่ VANS ได้ทำการส่งไปขายยังที่ต่างๆ ทุกมุมโลกเป็นตัวจุดกระแสให้เกิดความ HIT ตามมานั่นเอง แต่ความโชคดีไม่ได้หมดแค่นั้น SLIP-ON ได้เป็นรองเท้าที่พระเอกชื่อดังแห่งยุค Sean Penn
"Sean Penn"(ฌอน เพนน์)
สวมใส่แสดงในหนังเรื่อง "Fast Times at Ridgemont High" รองเท้าก็ดีคนใส่ก็ดังกระแสVANSที่ดังอยู่แล้วกลับดังขึ้นไปอีก และตอนนี้ VANS ก็ถือได้ว่าเป็นรองเท้า"ระดับโลก" ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในช่วงต้นของยุค 80 นี่เอง Poul Vans Doren มีความต้องการที่จะเป็นผู้ผลิตรองเท้ากีฬาประเภทอื่นๆมั่ง VANS จึงเริ่มทำการผลิตรองเท้าบาสเกตบอล ,เบสบอล ,มวยปล้ำ หรือแม้แต่กีฬากระโดดร่มพี่แกก็ยังผลิต และนี่คือเป็นความพยายามที่จะเป็นที่ผลิตรองเท้ากีฬา ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาตามแบบ CONVERSE และ US KEDS แต่ VANS ก็ไม่อาจไปถึงดวงดาวได้ เพราะขาใหญ่ในตลาดรองเท้า ไม่ได้มีแค่สองยี่ห้อที่กล่าวมาข้างต้นแต่ยังมี NIKE,ADIDAS,REEBOK และยี่ห้อมดยี่ห้อปลวกอีกเยอะแยะมากมาย VANS จึงเก็บข้าวเก็บของกลับไปทำรองเท้าskatet อย่างเก่า เพราะตอนนี้เรียกได้ว่าติดลมบนไปแล้วทำรุ่นไหนมาก็ขายได้แล้วจะดิ้นรนไปทำให้เหนื่อยเปล่าๆ ดังนั้นทีมออกแบบจึงตั้งหน้าตั้งตาผลิตรุ่นใหม่ๆออกมาอีกในตอนนี้ 1984 VANS DOREN THE RUBBER มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ เปรียบได้กับวัยรุ่นใจร้อนที่มีกำลังวังชาเหลือล้นจะ ขาดก็แต่ความรอบคอบก็เท่านั้นเอง ความนิยมมีมายรายได้เป็นกอบเป็นกำก็ตามมา นั่นคือภาพเบื้องหน้าที่คนทั่วไปมองเห็น แต่แท้ที่จริงแล้วปีนี้เป็นปีที่ตกต่ำที่สุดของ VANS เลยก็ว่าได้สิ่งที่หลายคนไม่เชื่อว่าเป็นไปได้เกิดขึ้นในปีนี้ VANSล้มละลาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะมันเกิดขึ้นแล้ว
คำถามต่างๆเกิดขึ้นมากมายว่าทำไมถึงเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครบอกเราได้เลยนอกจาก Poul และ Steve Van Doren ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นเพราะรายจ่ายมากกว่ารายรับ รายจ่ายคือค่าวัตถุดิบชั้นดี ,ค่าขนส่ง,ภาษีประกอบการอัตราสูง,ค่าจ้างพนังงาน ฯลฯ รายรับคือรายได้จากการขายรองเท้าในราคาถูกมากๆ เมื่อเทียบกับวัสดุ,ความประณีต,รูปแบบและความทนทาน 4.49 เหรียญสำหรับรองเท้าชาย(Authentic) และ 2.29 เหรียญสำหรับรองเท้าหญิง(Authentic) พอจะมองออกว่าทำไมถึงได้เจ๊ง แต่ก็ต้องขอบคุณและยกย่องที่ผลิตรองเท้าชั้นเมื่อเทียบกับราคา(ในตอนนั้น)ผลพวงมันเลยตกมาถึงรองเท้าในยุคปัจจุบัน คือมันสามารถอยู่รอดมาได้เพราะความทนทานของมัน

1988 VANS ค่อนข้างเก็บเนี้อเก็บตัวแต่ยังคงเดินหน้าผลิตรองเท้าชั้นดี ด้วยความตั้งใจเดิม แต่อาจกระท่อนกระแท่นในเรื่องค่าใช้จ่าย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถดื้อรั้นต่อมาตรการทาง
กฎหมายได้ หมายศาลทางธุระกิจถูกส่งมายัง VANS DOREN THE RUBBER

Poul และ Steve Vans Doren จึงได้ทำการปรึกษาทนายความถึงความเป็นไปได้ถึงการที่จะยังคงเป็นเจ้าของกิจการเหมือนเดิมได้รึเปล่า การนัด เคลียร์หนี้ จึงมีขึ้นในชั้นศาล ทนายผู้เป็นตัวแทนของเด็ก skate ตาดำๆกว่าครึ่งโลก เจรจากับศาลพร้อมทั้งชี้แจงถึงความพร้อมที่จะปรับโครงสร้าง
ในด้านต่างๆของบริษัทให้ศาลผู้ทรงเกียรติฟัง...ศาลมี คำสั่งให้ VANS จะต้องเปลี่ยนเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ Poul และ Steve Van Doren พยายามทำทุกอย่าง ถ้อยคำดีๆถูกกล่าวอ้างขึ้นมาเพื่อรักษาโรงงานอันเป็นที่รักยิ่ง แต่ทนายผู้เป็นตัวแทนบอกกับ Poul และ Steve Van Doren ด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า มันจบแล้วครับนาย เมื่อถึงทางตันจำเป็นต้องขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การคัดกรองเจ้าของใหม่ชั้นดีเลยเริ่มขึ้น คนมีตังค์มากมายต้องการเข้ามาช่วยเหลือและรับช่วงต่อดูแลกิจการแต่ทาง VANS ยังไม่ถูกใจด้วยเรื่องนโยบาย จนกระทั่ง McCown De Leeuw & Co., มาทำการเสนอนโยบายให้ VANS ที่ดูแล้วเข้าท่าเข้าทางที่สุดและจะทำให้VANSดำเนินกิจการต่อได้แน่นอน

การตกลงให้เจ้าของใหม่เข้ามาทำงานต่อเริ่มขึ้นโดยคุยกับทางธนาคารถึงความมั่นคงทางการเงินและความน่าเชื่อถือทางธุรกิจลองตรวจสอบดูแล้วว่ามีฐานะทางการเงินที่แน่นอนและนโยบายที่ดี
Poulและ Steve Van Dorenจึงยอมที่จะลดบทบาทตัวเองลงอย่างเจ็บปวด ทันทีที่เข้ามารับช่วงต่อเจ้าของใหม่เริ่มดำเนินการ ความต้องการที่จะทำให้VANSกลับมาแจ๋วในตลาดรองเท้าอีกครั้งจึงเริ่มขึ้น


ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
www.google.co.th